ในเลือดมีองค์ประกอบอะไรบ้างน้า?

ทราบกันไหมคะว่าเวลาที่เราไปบริจาคเลือดนั้น เลือดของเรานั้นสามารถนำไปแยกเป็นชนิดของเลือดแบบไหนได้บ้างค่ะ

ก่อนอื่นเราต้องมาดูก่อนว่า ในเลือดของเรามีองค์ประกอบอะไรบ้าง
โดยในเลือดของเรา มีองค์ประกอบ ดังนี้ค่ะ

  1. พลาสมา(Plasma) มีสีเหลืองใสมีสัดส่วน 55-60% ของปริมาตรเลือดทั้งหมด โดยในพลาสมานั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น อัลบูมิน(Albumin) เกลือแร่(Electrolytes) ฮอร์โมน(Hormone) ก๊าซที่ละลายในน้ำเลือด(Blood gas) และปัจจัยการแข็งตัวของเลือด เป็นต้นค่ะ
  2. เม็ดเลือดแดง(Red Blood Cells) จะมีหน้าที่ขนส่งก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย
  3. เม็ดเลือดขาว(White Blood Cells) มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกายของเราเพื่อป้องกันการติดเชื้อในร่างกายค่ะ โดยหากร่างกายเรามีการอักเสบหรือติดเชื้อขึ้นจะทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวในร่างกายสูงขึ้นนั่นเอง
  4. เกล็ดเลือด(Platelets) ช่วยในเรื่องกระบวนการแข็งตัวของเลือด เมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ มีเลือดออก เกล็ดเลือดจะทำหน้าที่ไปอุดรูรั่วของเหลือเลือดเพื่อให้เลือดหยุดไหลค่ะ

โดยเมื่อเราทำการบริจาคเลือดนั้นสามารถนำไปแยกเป็น พลาสมา เกร็ดเลือด และเม็ดเลือดแดงค่ะ

โดยเลือดทั้ง 3 ชนิด มีความแตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ

  1. พลาสมา ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการพลาสมาในการรักษา เช่น ผู้ป่วยที่ขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด โดย โดยพลาสมาจะถูกนำไปทำผลิตภัณฑ์อื่นต่อ ได้แก่ แฟคเตอร์ VIII (Factor VIII) อิมมูโนโกลบูลิน Immunoglobulin อัลบูมิน(Albumin )ค่ะ
  2. เกล็ดเลือด ใช้สำหรับผู้ที่ไขกระดูกสร้างได้น้อย เช่น ไขกระดูกฝ่อ หรือผู้ป่วยที่มีการสูญเสียเกล็ดเลือดมาก
  3. เม็ดเลือดแดง ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคที่มีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อย เช่น ธาลัสซีเมีย หรือผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดมาก

เห็นไหมละคะว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคหลายๆโรคนั้น จำเป็นต้องมีการได้รับเลือดเพื่อช่วยในการรักษาภาวะที่เป็น หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่เป็นโรคแต่มีการสูญเสียเลือดมาก ไม่ว่าจะเป็นจากการผ่าตัดใหญ่ จากอุบัติเหตุ ก็ยังมีความจำเป็นต้องได้รับเลือดเช่นกันค่ะ

การที่เราบริจาคเลือดนั้น เลือดของเราสามารถนำไปช่วยชีวิตผู้อื่นได้อีกมากมายเลยค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel ?: 063-526-5593
E-mail ?: unitynursingcare@gmail.com
Website ? : www.unitynursingcare.com

เตรียมตัวก่อนการบริจาคเลือด ต้องทำอย่างไรบ้างน้า?

ในช่วงวิกฤตโควิด-19 แบบนี้ ทำให้ผู้ที่มาบริจาคเลือดมีจำนวนลดลด จึงทำให้เลือดที่ขาดแคลนอยู่แล้ว มีการขาดแคลนมากขึ้น ซึ่งผลของการเลือดที่ขาดแคลนนั้นทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับเลือด ไม่มีเลือดสำหรับการใช้ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ป่วยที่ต้องมีการสูญเสียเลือดมากจากการผ่าตัดใหญ่ (ทำให้การผ่าตัดล่าช้าออกไป เนื่องจากไม่มีเลือดให้ค่ะ) หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุที่มีการสูญเสียเลือด รวมทั้งผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง หรือผู้ป่วยอื่นๆ ที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับเลือดค่ะ

Unity Nursing Care จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านที่สามารถบริจาคโลหิตได้ มาบริจาคโลหิตกันค่ะ ?

แต่ก่อนที่จะไปบริจาคโลหิต เรามาดูกันก่อนดีกว่าค่ะว่า เราจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะไปบริจาคโลหิตค่ะ

ก่อนการบริจาคโลหิตต้องมีการเตรียมตัว ดังนี้ค่ะ

  1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
  2. รู้สึกสบายดี สุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะบริจาคโลหิต หากอยู่ระหว่างรับประทานยารักษาโรค ให้แจ้งแพทย์/พยาบาล ผู้ตรวจคัดกรองสุขภาพทุกครั้ง
  3. รับประทานอาหารประจำมื้อก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ แกงกะทิขนมหวาน ก่อนมาบริจาคโลหิต 6 ชั่วโมง เพราะจะทำให้พลาสมามีสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้ 
  4.  ดื่มน้ำก่อนบริจาคโลหิต 30 นาที ประมาณ 3-4 แก้ว ซึ่งเท่ากับปริมาณโลหิตที่เสียไปในการบริจาค จะทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และช่วยลดภาวะการเป็นลมจากการบริจาคโลหิตได้
  5. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

6. งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

ทุกท่านควรมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้าไปบริจาคโลหิตกันนะคะ เพื่อให้ไปแล้วเราจะได้สามารถบริจาคโลหิตกันได้ ไม่เสียเที่ยวและไม่เสียแก่ความตั้งใจที่เราต้องการให้เลือดของเราได้ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปค่า ?

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย)

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel ?: 063-526-5593
E-mail ?: unitynursingcare@gmail.com
Website ? : www.unitynursingcare.com

ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

เชื่อว่าถ้าใครมีเบาหวานเป็นโรคประจำตัว นอกจากคำว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูง(Hyperglycemia) แล้ว ต้องเคยได้ยินคำว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ(Hypoglycemia) ด้วยแน่เลยค่ะ ทราบกันไหมคะว่า ระดับน้ำตาลในเบือดต่ำเกิดขึ้นได้อย่างไร

ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ต้องมีค่าเท่าไหร่ค่ะ

  • ในคนปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 mg/dl
  • ในผู้ป่วยเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 mg/dl

ซึ่งเมื่อเรามีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะแสดงอาการ ดังนี้ค่ะ

  1. หิว ใจสั่น รู้สึกหวิว
  2. หน้ามืด เวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม
  3. เหงื่อออก มือเท้าเย็น

โดยในผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่มีเบาหวานเป็นโรคประจำตัวยิ่งต้องระวังเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นพิเศษค่ะ

เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีการทานยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือดหรือการฉีดอินซูลิน(Insulin) เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกิดไป แต่หลังจากทานยาหรือฉีดยาแล้วนั้น ผู้ป่วยจะต้องทานอาหารหลังฉีดยาประมาณ 30 นาทีค่ะ

หากทานยาหรือฉีดยาไปแล้วแต่ลืมทานอาหาร ก็จะทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำได้ค่ะ

แล้วเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำแล้ว จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร?
เบื้องต้นหากท่านมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำต้องรีบดื่มน้ำหวาน ทานน้ำตาลเนื่องจากในน้ำหวานและน้ำตาลจะมี Glucose ซึ่งดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้เร็วนั่นเองค่ะ

ในผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย
ควรจะพกลูกอมติดตัวไว้ค่ะ เพราะเมื่อรู้สึกหิว หวิว หน้ามืด ท่านจะได้นำมาอมเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ค่ะ (แต่อย่าลืมตัว เผลอซื้อลูกอม sugar free นะคะ ?)

แต่ผู้ป่วยที่อยู่ใน รพ. เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำมาก อาจมีได้รับ Glucose ทางหลอดเลือดดำโดยตรงค่ะ

ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ(Hypoglycemia) นั้นหากเรารู้ได้ทันก็จะสามารถปฐมพยาบาลตนเองเบื้องต้นได้อย่างถูกวิธีค่ะ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ หรือเข้ารับการรักษาไม่ได้ทันอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel ?: 063-526-5593
E-mail ?: unitynursingcare@gmail.com
Website ? : www.unitynursingcare.com

ภาวะปอดแฟบ

ภาวะปอดแฟบหลังการผ่าตัด (Atelectasis)

ใครเคยเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ๆ บ้างคะ เชื่อว่าใครหลายคนน่าจะต้องผ่านประสบการณ์การเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลมาแล้วแน่ๆ การผ่าตัดใหญ่เหล่านี้ ต้องอาศัยการดมยาสลบหรือการ block หลัง โดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อให้หมดสติ หรือไม่รู้สึกในบริเวณที่ได้รับการผ่าตัดค่ะ

ซึ่งภายหลังจากการผ่าตัดแล้ว ท่านจะได้รับการดูแลต่อที่หอผู้ป่วย การดูแลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัดนั้นมีด้วยกันหลายเรื่องค่ะ แต่วันนี้เราจะพามาดูเรื่องภาวะปอดแฟบ ภายหลังการผ่าตัด ซึ่งเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ หากท่านไม่ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามแผนการรักษา

ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่า ภาวะปอดแฟบ(Atelectasis) ภายหลังการผ่าตัดเกิดขึ้นได้อย่างไร?

  • ภาวะปอดแฟบภายหลังการผ่าตัด เกิดจากการที่ผู้ป่วยนอนแล้วแผ่นหลังติดกับเตียงนาน ไม่ได้มีการลุก ขยับตัว นอกจากนี้ภายหลังการผ่าตัดผู้ป่วยมักมีแผลที่เกิดจากการผ่าตัด รวมถึงอาจมีอุปกรณ์จากห้องผ่าตัดกลับมา เช่น สายระบายเลือดที่คาอยู่ที่แผล ทำให้การขยับตัวในช่วงนี้ลดลง

ซึ่งเมื่อผู้ป่วยขยับตัวลดลง และแผ่นหลังติดกับเตียงนานๆ แล้วจะทำให้การขยายตัวของปอดไม่ดี เมื่อเราหายใจเข้า แล้วปอดขยายตัวไม่ได้อย่างเต็มที่ก็จะทำให้ร่างกายได้รับ ออกซิเจน(Oxygen) ลดลงนั่นเองค่ะ และในผู้ป่วยบางรายที่มีการผ่าตัดทรวงอกหรือหน้าท้องการหายใจที่ลึกอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บแผลมากขึ้น ผู้ป่วยจึงมักจะมีการหายใจที่ตื้น จึงส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลงได้เช่นกันค่ะ ซึ่งระดับออกซิเจนในเลือด ปกติจะมีค่า 95-100%

การป้องกันภาวะปอดแฟบภายหลังการผ่าตัด สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้ผู้ป่วยขยับตัวเพิ่มมากขึ้น การกระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้า-ออกให้ลึกขึ้น(Deep Breathing) หรือการใช้ลูกบอลดูดกระตุ้นการขยายตัวของปอด(Triflow)

Triflow หรือ Incentive Spirometer คือ อุปกรณ์ที่ช่วยกระตุ้นการขยายตัวของปอด โดยลักษณะจะเป็นพลาสติกที่มีลูกบอล 3 ลูกและมีท่อพลาสติกที่มีปากคาบ โดยในแต่ละช่องจะมีปริมาตรอากาศ 600 cc, 900 cc และ 1200 cc ค่ะ หากผู้ป่วยสามารถดูดลูกบอลให้ลอยได้ครบทุกลูกแปลว่าปอดมีการขยายตัวได้ดี
การใช้งาน Triflow สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. จัดท่าผู้ป่วยศีรษะสูงหรือจัดท่านั่งเพื่อช่วยให้ปอดขยายตัวได้ดี
  2. จับ Triflow ตั้งขึ้น ใช้ปากอมปากคาบของท่อพลาสติกให้แนบสนิท
  3. หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ก่อนออกแรงดูดค้างไว้ 5 วินาทีเพื่อให้ลูกบอลพลาสติกใน Triflow ขยับขึ้น เว้นจังหวะพัก 2-3 วินาที ก่อนทำซ้ำ

ซึ่งการทำเช่นนี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 100 ครั้ง โดยแบ่งเป็นเซต โดยฝึกเซตละ 5-10 ครั้งค่ะ

ภาวะปอดแฟบนั้น เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายหลังการผ่าตัด แต่หากท่านปฏิบัติตนหลังผ่าตัดได้อย่างถูกวิธีแล้วนั้น ท่านก็จะสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะปอดแฟบตามมาได้ค่ะ

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel ????: 063-526-5593
E-mail ????: unitynursingcare@gmail.com
Website ???? : www.unitynursingcare.com

น้ำเกลือสารพัดประโยชน์

ถ้าพูดถึงยาสามัญประจำบ้าน สิ่งที่หลายคนต้องมีติดบ้านไว้ คงหนีไม่พ้นกับน้ำเกลือค่ะ น้ำเกลือ หรือที่เรียก Normal Saline (0.9% Sodium Chloride) เป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเลยค่ะ

โดยวันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูว่าน้ำเกลือนั้น มีประโยชน์อะไรบ้าง

  1. ใช้ล้างทำความสะอาดแผล แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ที่ซื้อน้ำเกลือมาติดบ้าน ก็เพื่อนำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลนั่นเองใช่ไหมคะ เพราะไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เราก็ควรจะใช้น้ำเกลือที่สะอาดปราศจากเชื้อโรคในการล้างทำความสะอาดบาดแผลของเรา เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ออกไปค่ะ
  2. ใช้เช็ดหน้าเวลาเป็นสิว หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าน้ำเกลือธรรมดาๆ นี่แหละที่ช่วยให้สิวของเราแห้งและยุบเร็วขึ้นค่ะ โดยหลังจากการล้างทำความสะอาดใบหน้าเสร็จเรียบร้อย ให้ซับหน้าให้แห้งด้วยกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วทิ้ง หลังจากนั้น นำน้ำเกลือมาหยดลงบนสำลี แล้วเช็ดทั่วใบหน้าแทนโทนเนอร์ จะช่วยให้สิวแห้งและยุบเร็วขึ้นค่ะ
  3. ใช้ล้างจมูก ในผู้ที่มีอาการคัดแน่นจมูก มีน้ำมูกเหนียวในโพรงจมูก หรือเป็นไซนัสท่านสามารถทำการสวนล้างโพรงจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้นและยังทำให้โพรงจมูกมีความชุ่มชื่นเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ โดยก่อนการสวนล้างโพรงจมูกท่านต้องล้างมือ syringe และจุกล้างจมูกให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ syringe ดูดน้ำเกลือขึ้นมาแล้วเริ่มล้างจมูกทีละข้าง โดยหลังจากที่สวนล้างเสร็จควรสั่งน้ำมูกเบาๆ เพื่อช่วยให้น้ำมูกและน้ำเกลือที่ค้างอยู่ในจมูกออกมาค่ะ
  4. ใช้ล้างคอนแทคเลนส์ก่อน-หลังการสวมใส่ หลังจากการสวมใส่คอนแทคเลนส์มาทั้งวัน น้ำเกลือเป็นสิ่งที่เราควรใช้ในการทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ก่อนจะเก็บลงตลับแล้วแช่ด้วยน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ และก่อนที่เราจะนำคอนแทคเลนส์มาใส่ เราสามารถล้างคอนแทคเลนส์ได้ด้วยน้ำเกลือเพราะ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของคอนแทคเลนส์ให้สวมใส่ได้สบายสายตามากขึ้นอีกด้วยค่ะ
  5. ใช้อมกลั้วบ้วนปาก ในผู้ที่มีแผลในช่องปาก แล้วไม่สามารถทำความสะอาดช่องปากได้ด้วยการแปรงฟัน หรือการใช้น้ำยาบ้วนปากอมฆ่าเชื้อโรคในช่องปาก ท่านสามารถเลือกใช้น้ำเกลือในการอมกลั้ว เพื่อทำความสะอาดในช่องปากและนอกจากนี้การอมกลัวปากด้วยน้ำเกลือ ยังช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำคอได้อีกด้วย

เห็นไหมล่ะคะว่าน้ำเกลือนั้นมีประโยชน์หลากหลายเลยค่ะ ซึ่งหากท่านมีติดบ้านไว้ในโหมดของยาสามัญประจำบ้านนั้นรับรองว่าต้องได้นำมาใช้ประโยชน์กันอย่างแน่นอนค่า

สนใจบริการ

เฝ้าไข้ที่บ้านและโรงพยาบาล #พาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล #ดูแลเจาะเลือดที่บ้าน #บริการทำแผลที่บ้าน #บริการวางแผนสอนดูแลผู้ป่วยผู้สูงอายุที่บ้าน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line : @unitynursingcare
Tel ????: 063-526-5593
E-mail ????: unitynursingcare@gmail.com
Website ???? : www.unitynursingcare.com